วันพุธที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2554

ย่านาง สมุนไพรมหัศจรรย์


ใบย่านาง
          ย่านางเป็นพืชสมุนไพร ที่ใช้เป็นอาหารและเป็นยามาตั้งแต่โบราณ หมอยาโบราณภาคอีสาน เรียกชื่อทางยาของย่านางว่า  "หมื่นปี บ่ เฒ่า"  แปลเป็นภาษากลางว่า  "หมื่นปีไม่แก่"  กระผมพบความมหัศจรรย์ของย่านางครั้งแรก  เมื่อคุณแม่ของกระผมตกเลือดจากมดลูกอย่างรุนแรง  หลังจากที่่กระผมตัดสินใจใช้ย่านาง   เป็นสมุนไพรหลักในการบำบัด  อาการของคณแม่ก็ทุเลาลงอย่างรวดเร็วภายใน ๓ วัน  เลือดหยุดไหล  เมื่อใช้ย่านางบำบัดอย่างต่อเนื่องอีก ๓ เดือนต่อมา  มดลูกที่โต ๑๖ เซนติเมตร  ก็ยุบลงเหลือเท่าขนาดปกติ  คือเท่าผลชมพู่  ผิวมดลูกที่ขรุขระเหมือนหนังคางคกก็หายไป  อาการตกขาวก็หายไปด้วย
          ต่อมากระผมทดลองใช้ย่านางกับผู้ป่วยมะเร็งตับ  ผู้ป่วยก็อาการดีขึ้น  เมื่อครบ ๓ เดือน  ไปตรวจอุลตราซาวด์  พบว่ามะเร็งฝ่อลง  จากนั้นก็ทดลองกับผู้ป่วยโรคเกาต์ให้ดื่มน้ำย่านางต่อเนื่อง ๓ เดือน  อาการปวดข้อหายไป  ไปตรวจที่โรงพยาบาลไม่พบโรคเกาต์  ซึ่งทางการแพทย์แผนปัจจุบัน  บอกว่าเป็นโรคที่รักษาไม่หาย  ได้ทดลองกับผู้ป่วยเบาหวานและความดันโลหิตสูง  หลังจากดื่มน้ำย่านางต่อเนื่อง  พบว่าสามารถลดน้ำตาลในเลือดและความดันโลหิตได้  หลังจากนั้นกระผมได้ข้อมูลจากคนแก่อายุ ๗๗ ปีคนหนึ่งที่ดื่มน้ำย่านางต่อเนื่องกันหนึ่งเดือน  พบว่าผมที่เคยขาวกลับเปลี่ยนเป็นสีเทา และมีสีดำแซม  ลูกสาวของคนแก่ดังกล่าวเชื้อราทำลายเล็บ  รักษาด้วยการทาและกินยาแผนปัจจุบันไม่หาย  พอดื่มน้ำย่านางได้ ๑๐ วัน  ก็ทุเลาอย่างรวดเร็ว  กระผมได้ทดลองให้น้ำย่านางกับผู้ป่วยอีกหลายโรคหลายอาการไม่ว่าจะเป็นอาการไข้ขึ้น  ปวดหัว  ตัวร้อน  ปวดเมื่อยตามร่างกาย  ตุ่ม  ผื่นคัน  และอาการอื่น ๆ  ก็พบว่าอาการทุเลาอย่างรวดเร็ว  กระผมได้ข้อมูลจากผู้ป่วยหลายคนที่ใช้ย่านางไปใช้บำบัดรักษาโรคพบว่า  ไม่ว่าจะเป็นโรคร้ายที่รักษายาก  หรือโรคที่รักษาง่ายหลายโรคหลายอาการย่านางสามารถบำบัดรักษาให้ทุเลาเบาบางหรือหายได้
          ดังนั้น  กระผมจึงได้นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับย่านาง  เผื่อว่าย่านางอาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยบำบัด  บรรเทาทุกข์จากโรคภัยไข้เจ็บของญาติพี่น้องของเพื่อนร่วมโลกได้บ้าง

                                                                                                    
วงศ์    MENISPERMACEAE
ชื่อวิทยาศาสตร์     Tiliacora triandra (Colebr.) Diels
ชื่อพื้นเมือง
          ภาคกลาง     เถาย่านาง, เถาหญ้านาง, เถาวัลย์เขียว, หญ้าภคินี
          เชียงใหม่      จ้อยนาง, จอยนาง, ผักจอยนาง
          ภาคใต้         ย่านนาง, ยานนาง, ขันยอ
          สุราษฏร์ธานี  ยาดนาง, วันยอ
          ภาคอิสาน     ย่านาง
          ไม่ระบุถิ่น      เครือย่านาง, ปู่เจ้าเขาเขียว, เถาเขียว, เครือเขางาม
ผลของย่านางมีขนาดเล็กเท่าลูกมะแว้ง
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
          ต้น     เป็นไม้เถาเลื้อย เกี่ยวพันไม้อื่น เป็นเถากลม ๆ ขนาดเล็ก แต่เหนียว มีสีเขียว เมื่อเถาแก่จะมีสีเข้มคล้ำ บริเวณเถาจะมีข้อห่าง ๆ เถาอ่อน มีขนอ่อนปกคลุม เมื่อแก่แล้วผิวค่อนข้างเรียบ
          ราก    มีหัวใต้ดิน รากมีขนาดใหญ่
          ใบ     เป็นใบเดี่ยวคล้ายใบพริกไทย ออกติดกับลำต้นแบบสลับรูปร่างใบคล้ายรูปไข่หรือรูปไข่ขอบขนาน ปลายไปเรียว ฐานใบมน ขนาดใบยาว ๕-๑๐ ซม.  กว้าง ๒-๔ ซม. ขอบใบเรียบ ผิวใบเป็นคลื่นเล็กน้อย ก้านใบยาว ๑-๑.๕ ซม.  ในภาคใต้ใบค่อนข้างเรียวยาวแหลมกว่า สีเขียวเข้ม หน้าและหลังใบเป็นมัน
          ดอก   ออกตามซอกใบ ซอกโคนก้าน จากข้อเถาแก่เป็นช่อยาว ๒-๕ ซม.  ช่อหนึ่ง ๆ  มีดอกขนาดเล็กสีเหลือง ๓-๕ ดอก  ออกดอกแยกเพศอยู่คนละต้น ไม่มีกลีบดอก ขนาดโตกว่าเมล็ดงาเล็กน้อย ต้นเพศผู้จะมีดอกสีน้ำตาล อับเรณูสีเหลืองอ่อน ดอกย่อยของต้นเพศผู้จะมีขนาดเล็ก ก้านช่อดอกจะมีขนสั้น ๆ  ละเอียด  ปกคลุมหนาแน่น ออกดอกช่วงเดือนเมษายน
          ผล     รูปร่างกลมเล็กขนาดเท่าผลมะแว้ง สีเขียว เมื่อแก่จะกลายเป็นสีเหลืองอมแดง หรือสีแดงสด และกลายเป็นสีดำในที่สุด
          เมล็ด  เมล็ดแข็งรูปเกือกม้า
          แหล่งที่พบ     ย่านางเป็นพืชที่พบในแหล่งธรรมชาติ ป่าทั่วไปที่มีความชุ่มชื้น  บริเวณป่าผสมผลัดใบ ป่าดงดิบ และป่าโปรงในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  รวมทั้งภาคอื่นก็มีกระจายกันทั่วไป
          การปลูกและการขยายพันธุ์     ย่านางเป็นพืชที่ขึ้นในดินทุกชนิด และปลูกได้ทุกฤดู ขยายพันธุ์โดยการใช้หัวใต้ดินเถาแก่ที่ติดหัว ปักชำยอด หรือการเพาะเมล็ด เป็นไม้ที่ปลูกง่ายโดยปลูกเป็นหลุมหรือยกร่องก็ได้
          ประโยชน์ทางยา
          สารเคมีที่สำคัญ  รากย่านางมี isoquinolone alkaloid ได้แก่  Tiliacorine, Tiliacorinine, Nortiliacorinine A, Tiliacotinine 2-N-oxde  และ  tiliandrine, tetraandrine, D-isochondendrine (isberberine)
          การทดลองทางห้องปฏิบัติการ
          จากการทดลองพบว่าสารสกัดจากรากย่านางมีฤทธิ์ต้านเชื้อมาเลเรียชนิดฟัลซิพารัมในหลอดทดลอง (พร้อมศิษย์และคณะ, ๒๕๔๓)
          ใบ     รสจืดขม  รับประทาน ถอนพิษผิดสำแดง แก้ไข้ ตัวร้อน แก้ไข้รากสาด ไข้พิษ ไข้เซื่องซึม ไข้หัว ไข้กลับซ้ำ ใช้เข้ายาเขียว ทำยาพอก ลิ้นกระด้าง คางแข็ง กวาดคอ แก้ดไข้ฝีดาษ ไข้ดำแดงเถา
          ราก     รสจืดขม กระทุ้งพิษไข้ แก้ไข้ ปรุงยาแก้ไข้รากสาด ไข้กลับ ไข้พิษ ไข้สันนิบาต ไข้ป่าเรื้อรัง ไข้ทับฤดู ไข้ผิดสำแดง ไข้เหนือ ไข้หัวจำพวกเหือดหัด สุกใส ฝีดาษ ไข้กาฬ รับประทานแก้พิษเมาเบื่อ แก้เมาสุรา แก้พิษภายในให้ตกลิ้น บำรุงหัวใจ บำรุงธาตุ แก้โรคหัวใจบวม ถอนพิษผิดสำแดง แก้ไม่ผูก ไม่ถ่าย แก้กำเดา แก้ลม
          ทั้งต้น     ปรุงเป็นยาแก้ไข้กลับ
          การใช้เป็นยาในการแพทย์พื้นบ้านล้านนา
          ๑.  แก้ไข้     ใช้รากย่านางแห้ง ๑ กำมือ(ประมาณ ๑๕ กรัม) ต้มกับน้ำ ๒ แก้วครึ่ง เคี่ยวให้เหลือ ๒ แก้ว  ให้ดื่มครั้งละ ๑/๒ แก้วก่อนอาหาร ๓ เวลา
          ๒.  แก้ป่วง    (ปวดท้องเพราะกินอาหารผิดสำแดง)  ใช้รากย่านางแดงและรากมะปรางหวาน ฝนกับน้ำอุ่น แต่ไม่ถึงกับข้น ดื่มครั้งละ ๑/๒-๑ แก้วต่อครั้ง วันละ ๓-๔ ครั้ง หรือทุก ๆ  ๒ ชั่วโมง ถ้าไม่มีรากมะปรางหวาน ก็ใช้รากย่านางแดงอย่างเดียวก็ได้ หรือถ้าให้ดียิ่งขึ้น ใช้รากมะขามฝนรวมด้วย
          ๓.  ถอนพิษเบื่อเมาในอาหาร     เช่น  เห็ด กลอย ใช้รากย่านาง ต้น และใบ ๑ กำมือ ตำผสมกับขาวสารเจ้า ๑ หยิบมือ เติมน้ำ คั้นให้ได้ ๑ แก้ว กรองด้วยผ้าขาว ใส่เกลือและน้ำตาลเล็กน้อยพอดื่มง่ายดื่มให้หมดทั้งแก้ว ทำให้อาเจียนออกมา จะช่วยทำให้ดีขึ้น
          ๔. ดับพิษร้อน ถอนพิษไข้     ใช้หัวย่านางเคี่ยวกับน้ำ ๓ ส่วน ให้เหลือ ๑ ส่วน ดื่มครั้งละครึ่งแก้ว
          การใช้ยาพื้นบ้านในภาคอีสาน
          ๑.  ใช้ราก     ต้มเป็นยาแก้อีสุกอีใส ตุ่มผื่น
          ๒.  ใช้รากย่านางผสมรากหม้อน้อย    ต้มแก้ไข้มาเลเรีย
          ๓.  ใช้ราก     ต้มขับพิษต่าง ๆ 
รสและคุณค่าทางโภชนาการ
          ใบย่านางรสจืด
          คุณค่าทางโภชนาการ ข้อมูลจากหนังสือ Thai Food Composition, Institute of Nutrition, Mahidol University (สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล) พบว่า  ปริมาณสารสำคัญที่มีมากและโดดเด่นในใบย่านาง คือ ไฟเบอร์ แคลเซี่ยม เหล็ก เบต้าแคโรทีน วิตามินเอ
          ใบย่านาง  ๑๐๐  กรัม  ให้คุณค่าทางโภชนาการดังนี้
                    พลังงาน                            ๙๕                           กิโลแคลอรี่
                    เส้นใย                                 ๗.๕                        กรัม
                    แคลเซี่ยม                        ๑๕๕                           มิลลิกรัม
                    ฟอสฟอรัส                          ๑๑                           มิลลิกรัม
                    เหล็ก                                  ๗.๐                        มิลลิกรัม
                    วิตามินเอ                     ๓๐๖๒๕                           IU
                    วิตามินบีหนึ่ง                         ๐.๐๓                      มิลลิกรัม
                    วิตามินบีสอง                         ๐.๓๖                      มิลลิกรัม
                    ไนอาซิน                              ๑.๔๐                      มิลลิกรัม
                    วิตามินซี                          ๑๔๑                           มิลลิกรัม
                    หรือโปรตีน                         ๑๕.๕                        เปอร์เซ็นต์
                    ฟอสฟอรัส                            ๐.๒๔                      เปอร์เซ็นต์
                    โพแทสเซี่ยม                         ๑.๒๙                     เปอร์เซ็นต์
                    แคลเซียม                             ๑.๔๒                     เปอร์เซ็นต์
                    ADF                                  ๓๓.๗                       เปอร์เซ็นต์
                    NDF                                  ๔๖.๘                       เปอร์เซ็นต์
                    DMD                                 ๖๒.๐                        เปอร์เซ็นต์
                    แทนนิน                                ๐.๒๑                      เปอร์เซ็นต์
ประโยชน์ทางอาหาร
          ย่านาง มีทุกฤดูกาล ให้ยอดมากในฤดูฝน  และให้ผลในฤดูแล้ง
ส่วนที่ใช้กินและการปรุงเป็นอาหาร
          คนไทยนิยมใช้ใบย่านางคั้นเอาน้ำปรุงอาหารต่าง ๆ  เช่น  แกงหน่อไม้  ซุปหน่อไม้  (ย่านางสามารถต้านพิษกรดยูริกในหน่อไม้ได้)  แกงอ่อม  แกงเห็ด  หรือขยี้ใบสดกับหมอน้อย(กรุงเขมา)  รับประทานถอนพิษร้อนต่าง ๆ
          ภาคอิสาน
          เถาและใบของย่านางนิยมใช้เป็นเครื่องปรุง ใช้แต่งสีเขียวในอาหารคาว  และช่วยทำให้น้ำแกงข้นมากขึ้นด้วย  นอกจากนี้ยังสามารถนำไปประกอบเป็นอาหารต่าง ๆ  ดังนี้
          ๑.  เถา  ใบอ่อน  ใบแก่  ตำ  คั้นเอาน้ำสีเขียว  นำไปต้มกับหน่อไม้ปรุงเป็นแกงหน่อไม้ ซุปหน่อไม้  แกงต้มเปรอะ  เชืื่อว่าย่านางจะช่วยลดรสขื่นขมของหน่อไม้ได้ดี  ทำให้หน่อไม้มีรสหวานอร่อย
          ๒.  นำไปแกงกับยอดหวาย
          ๓.  นำไปแกงกับขี้เหล็ก
          ๔.  นำไปใส่แกงขนุน  แกงผักอีลอก
          ๕.  นำไปอ่อมและหมก
          ข้อควรระวัง  (ขลำ)  ต้องทำให้สุก
          เป็นที่น่าสังเกตว่า  คนอีสานไม่มีข้อห้ามในการกินหน่อไม้ในคนที่สูงอายุ  ซึ่งแตกต่างจากทางภาคอื่น ๆ  ที่มีข้อห้ามในการบริโภคหน่อไม้  เมื่อมีอายุมากขึ้น  โดยเชื่อกันว่าหน่อไม้มีผลทำให้ปวดข้อ  แต่คนอีสานมีวัฒนธรรมในการกินหน่อไม้คู่กับย่านางเสมอ  จึงไม่มีปัญหาเหมือนการกินหน่อไม้ของคนภาคอื่น ๆ
          ภาคใต้
          ๑.  ใช้ยอด  ใบเพสลาด (ไม่อ่อน  ไม่แก่เกินไป)  นำไปแกงลียง ผัด  แกงกะทิ
          ๒.  ผลสุก  ใช้กินเล่น
          ภาคเหนือ
          ๑.  ยอดอ่อน  นำมาลวกเป็นผักจิ้มน้ำพริก
          ๒.  ยอดอ่อน  ใบแก่  คั้นน้ำนำมาใส่แกงพื้นเมือง  เช่น  แกงหน่อไม้  แกงแค
ประโยชน์ใช้สอยอื่น ๆ
          ๑.  น้ำสีเขียวจากใบย่านางนำไปใช้ย้อมผ้าได้อีกด้วย
          ๒.  ใช้เป็นอาหารสัตว์  เช่น  กระบือ
          ๓.  เถามีความเหนียว  ใช้มัดสัมภาระได้
                               ประสบการณ์การใช้ ตามแนวธรรมชาติบำบัด
                    จากประสบการณ์ที่กระผมได้ใช้ใบย่านางกับผู้ป่วยพบว่า ใบย่านางมีฤทธิ์เย็น  จึงใช้ใบย่านางปรับมดุล  บำบัดหรือบรรเทาอาการอันเกิดจากภาวะไม่สมดุลแบบร้อนเกิน
                    กระผมพบว่า  ใบย่านางเหมาะอย่างยิ่งที่จะใช้ในการป้องกันคุ้มครองรักษา  และฟื้นฟูเซลล์ร่างกายของคนในยุคนี้  เพราะคนส่วนใหญ่จะมีภาวะไม่สมดุลแบบร้อนเกิน  อันเนื่องมาจากผู้คนส่วนใหญ่มีความเครียดสูง  มักถูกบีบคั้น  กดดันจากสภาพสังคมและเศรษฐกิจ  ให้ต้องแก่งแย่งแข่งขัน  เร่งรีบ  เร่งร้อน  สิ่งแวดล้อมก็มีมลพิษมากขึ้น  ต้นไม้ที่ให้ออกซิเจน  ร่มเย็น  ให้ความชุ่มชื้นก็ถูกทำลายจนเหลือน้อย  โลกจึงร้อนขึ้น  อาหารและเครื่องก็ปนเปื้อนสารพิษสารเคมีมากขึ้น  ตั้งแต่ขบวนการเริ่มต้นผลิตทางการเกษตร  ที่ใช้สารเคมีกันอย่างมากมาย  จนถึงการปรุงเป็นอาหาร  ผู้คนอยู่กับเครื่องไฟฟ้า  อิเล็กทรอนิกส์  สิ่งเหล่านี้เป็นเหตุปัจจัยหลัก  ที่ทำให้คนเจ็บป่วยด้วยภาวะไม่สมดุลแบบร้อนเกิน
                    สถานการณ์ดังกล่าวตรงกันข้ามกับเมื่อ  ๓๐-๕๐  ปีที่ผ่่านมาผู้คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีความเครียด วิถีชีวิตเรียบง่าย  สงบ  เอื้อเฟื้อเกื้อกูลกัน  ไม่ต้องแก่งแย่งแข่งขัน  ไม่ต้องเร่งร้อนเร่งรีบเหมือนคนยุคนี้  สิ่งแวดล้อมมีมลพิษน้อย  ป่่าไม้ก็มีมาก  แม่น้ำลำธารใสสะอาด  อาหารการกินไม่มีสารเคมีเจือปน  ตั้งแต่กระบวนการผลิตทางการเกษตร  จนถึงกระบวนการปรุงอาหารก็ไร้สารพิษ  ปรุงแต่งน้อย  รสไม่จัดจ้าน  เครื่องไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ไม่ค่อยมี  ผู้คนส่วนใหญ่ในยุคนั้น  จึงมักมีภาวะไม่สมดุลแบบเย็นเกิน
                    อาการหรือโรคที่เกิดจากภาวะไม่สมดุลแบบร้อนเกิน  ซึ่งสามารถใช้ใบย่านางปรับสมดุล  บำบัดหรือบรรเทาได้  มีดังต่อไปนี้
          ๑.  ตาแดง  ตาแห้ง  แสบตา  ปวดตา  ขี้ตาข้น  เหนียวหรือไม่ค่อยมีขี้ตา
          ๒.  มีสิว ฝ้า
          ๓.  มีตุ่ม แผล  ออกร้อนในช่องปาก  เหงือกอักเสบ
          ๔.  นอนกรม  ปากคอแห้ง  ริมฝีปากแห้งแตกเป็นขุย
          ๕.  ผมหงอกก่อนวัย  รูขุมขนขยายโดยเฉพาะบริเวณหน้าอก  คอ  ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง
          ๖.  ไข้ขึ้น  ปวดหัว  ตัวร้อน  ครั่นเนื้อครั่นตัว
          ๗.  มีเส้นเลือดขอดตามส่วนต่างๆ  ของร่างกาย  เส้นเลือดฝอยแตกใต้ผิวหนัง  มีรอยจ้ำเขียวคล้ำ
          ๘.  ปวดบวมแดงร้อนตามร่างกายหรือตามข้อ
          ๙.  กล้ามเนื้อเกร็งค้าง  กดเจ็บ  เป็นตะคริวบ่อย ๆ
        ๑๐.  ผิวหนังผิดปกติคล้ายรอยไหม้ เกิดฝีหนอง  น้ำเหลืองเสียตามร่างกาย
        ๑๑.  ตกกระสีน้ำตาลหรือสีดำตามร่างกาย
        ๑๒.  ท้องผูก  อุจจาระแข็งหรือเป็นก้อนเล็ก ๆ  คล้ายขี้แพะ  บางครั้ง  มีท้องเสียแทรก
        ๑๓.  ปัสสาวะมีปริมาณน้อย  สีเข้ม  ปัสสาวะบ่อย  แสบขัด  ถ้าเป็นมากๆจะเป็นสีนํ้าล้างเนื้อ  หรือมีเลือดปนออกมากับปัสสาวะด้วยมักลุกปัสสาวะช่วงเที่ยงคืนถึงตี ๒  (คนที่ร่างกายปกติ  สมดุล  จะไม่ตื่นปัสสาวะกลางดึก)
        ๑๔.  ออกร้อนท้อง  แสบท้อง  ปวดท้อง  บางครั้งมีอาการ  ท้องอืดร่วมด้วย
        ๑๕.  มีผื่นที่ผิวหนัง  ปื้นแดงคัน  หรือมีตุ่มใสคัน
        ๑๖.  เป็นเริม  งูสวัด
        ๑๗.  หายใจร้อน  เสมหะเหนียวข้น  ขาวขุ่น  สีเหลืองหรือสีเขียวบางทีเสมหะพันคอ
        ๑๘.  โดยสารยานยนต์  มักอ่อนเพลียและหลับขณะเดินทาง
        ๑๙.  เลือดกำเดาออก
        ๒๐.  มักง่วงนอนหลังกินข้าวอิ่มใหม่ๆ
        ๒๑.  เป็นมากจะยกแขนขึ้นไม่สุด  ไหล่ติด
        ๒๒.  เล็บมือ  เล็บเท้า  ขวางสั้น  ผุ  ฉีกง่าย  มีสีนํ้าตาลหรือดำคลํ้าอักเสบบวมแดงที่โคนเล็บ
        ๒๓.  หน้ามืด  เป็นลม  วิงเวียน  บ้านหมุน  คลื่นไส้  อาเจียนมักแสดงอาการเมื่ออยู่ในที่อับ  หรือ
               อากาศร้อนหรือเปลื่ยนอิริยาบถเร็วเกิน  หรือทำงานเกินกำลัง
        ๒๔.  เจ็บเหมือนมีเข็มแทงหรือไฟฟ้าช็อต  หรือร้อนเหมือนไฟเผาตามร่างกาย
        ๒๕.  อ่อนล้า  อ่อนเพลีย  แม้นอนพักก็ไม่หาย
        ๒๖.  รู้สึกร้อนแต่เหงื่อไม่ออก        
        ๒๗.  เจ็บปลายลิ้น แสดงว่าหัวใจร้อนมาก  ถ้าเป็นมาก ๆ  จะเจ็บแปลบที่หน้าอก  และอาจร้าวไปที่แขน
        ๒๘.  เจ็บคอ  เสียงแหบ  คอแห้ง
        ๒๙.  หิวมาก  หิวบ่อย  หูอื้อ  ตาลาย  ลมออกหู  หูตึง
        ๓๐.  ส้นเท้าแตก  ส้นเท้าอักเสบ  เจ็บส้นเท้า  รองช้ำ  ออกร้อนบางครั้งเหมือนไฟช็อต
        ๓๑.  เกร็ง  ชัก
        ๓๒.  โรคที่เกิดจากภาวะไม่สมดุลแบบร้อนเกิน  ได้แก่  โรคหัวใจ  เป็นหวัดร้อน  ไซนัสอักเสบ  หลอดลมอักเสบ  กล่องเสียงอักเสบ ตับอักเสบ กระเพาะอาหารลำไส้อักเสบ  ไทรอยด์เป็นพิษ  ริดสีดวงทวาร  มดลูกโต  ตกขาว  ตกเลือด  ปวดมดลูก  หอบหืด  ไตอักเสบ  ไตวาย  นิ่วไต  นิ่วกระเพาะปัสสาวะ  นิ่วถุงน้ำดี  กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ไส้เลื่อน  ต่อมลูกหมากโต โรคเกาต์  ความดันโลหิตสูง เบาหวาน  เนื้องอก  มะเร็ง  พิษของแมลงสัตว์กัดต่อย
                    วิธีใช้
                     ใช้ใบย่านางในการเพิ่มคลอโรฟิล  คุ้มครองเซลล์  ฟื้นฟูเซลล์  ปรับสมดุล  บำบัดหรือบรรเทาอาการที่เกิดจากภาวะไม่สมดุล  แบบร้อนเกินดังนี้
          ๑.  เด็กใช้ใบย่านาง  ๑-๕  ใบ  ต่อน้ำ  ๑-๓  แก้ว (๒๐๐-๖๐๐ ซี.ซี.)
          ๒.  ผู้ใหญ่ที่รูปร่างผอม  บาง  เล็ก  ทำงานไม่ทน  ใช้  ๕-๗  ใบ  ต่อน้ำ  ๑-๓  แก้ว
          ๓.  ผู้ใหญ่ที่รูปร่างผอม  บาง  เล็ก  ทำงานทน  ใช้  ๗-๑๐  ใบ  ต่อน้ำ  ๑-๓  แก้ว
          ๔.  ผู้ใหญ่ที่รูปร่างสมส่วนถึงตัวโต  ใช้  ๑๐-๒๐  ใบ  ต่อน้ำ  ๑-๓  แก้ว  โดยใช้ใบย่านางสดโคลกละเอียดแล้วเติมน้ำ  หรือขยี้ใบย่านางกับน้ำหรือปั่นในเครื่องปั่น  (แต่การปั่นในเครื่องปั่นไฟฟ้าจะทำให้ประสิทธิภาพลดลง)บ้าง  เนื่องจากความร้อนจะไปทำลายความเย็นของย่านาง)  แล้วกรองผ่านกระชอนเอาแต่น้ำ  ดื่มครั้งละ  ๑/๒-๑  แก้ว  วันละ  ๒-๓  เวลา  ก่อนอาหารหรือตอนท้องว่าง  หรือผสมเจือจางดื่มแทนน้ำเปล่า  ในอุณหภูมิห้องปกติ  ควรดื่มภายใน  ๔  ชั่วโมง  หลังจากทำน้ำย่านาง  เพราะถ้าเกิน  ๔  ชั่วโมง  มักจะมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยว  ไม่เหมาะที่จะดื่ม  จะทำให้เกิดภาวะร้อนเกิน  แต่ถ้าแช่ในน้ำแข็งหรือตู้เย็น  ควรใช้ภายใน  ๓-๗  วัน  โดยให้สังเกตุที่กลิ่นเหม็นเปรี้ยวเป็นหลัก
          ๕.  การทำน้ำย่านางอาจผสมน้ำมะพร้าว  หรือน้ำเล็กน้อย  เพื่อผลทางยาหรือช่วยให้ดื่มง่ายขึ้น
          ๖.  บางคนเป็นโรคหรือมีอาการหนักมาก  บางครั้งย่านางเพียงอย่างเดียว  ไม่สามารถทำให้ทุเลาได้  ให้ใช้พืชฤทธิ์เย็นตัวอื่น ๆ  มาช่วยเสริม  โดยนำมาขยี้  โขลกหรือปั่นรวมกับย่านาง  พืชฤทธิ์เย็นที่นำมาเสริมฤทธิ์ย่านางที่มีประสิทธิภาพดี  ได้แก่่  ใบอ่อมแซ่บ  ๑  กำมือ  ใบเตย  ๑-๓  ใบ  ผักบุ้ง  ๕-๑๐  ต้น  บัวบก  ๑  กำมือ  เสลดพังพอนตัวเมีย(พญายอ)  ๕-๑๐  ยอด (๑ ยอดยาว ๑ คืบ)  ใบตำลึงแก่  ๑  กำมือ  หญ้าปักกิ่ง  ๑-๓  ต้น  ว่านกาบหอย  ๓-๕  ใบ  เป็นต้น  โดยนำมาเสริมเท่าที่จะได้  พืชชนิดใดที่หาไม่ได้ก็ไม่ต้องใช้  และพืชชนิดใดไม่ถูกกับผู้ที่จะดื่มก็ไม่ต้องใช้เอามาผสม  อาการของพืชที่ไม่ถูกกับร่างกาย  คือ  เมื่อรับประทานหรือสัมผัสพืชนั้นจะระคายคอ  หรือมีอาการไม่สบายบางอย่าง  ถึงกระนั้นก็ตาม  บางคนที่เคยไม่ถูกกับพืชบางอย่าง  พอผสมกันหลายอย่าง  ก็รับประทานได้โดยไม่มีอาการผิดปกติ  แต่บางคนแม้จะผสมกันหลายอย่าง  ก็ยังแสดงอาการผิดปกติอยู่  หรือให้งดใช้พืชชนิดนั้นเสีย
          ๗.  บางคนไม่ชินกับการรับประทานสด  ก็สามารถผ่านไฟให้อุ่นหรือเดือดไม่เกิน  ๕  นาทีได้  โดยตรวจสอบร่่างกายของตนว่า  ระหว่างรับประทานสดกับผ่านไฟ  อย่างไหนที่ทำให้รู้สึกสดชื่น  สบายหรืออาการเจ็บป่วยทุเลาได้มากกว่า  ก็ให้ไช้วิธีนั้น
          ๘.  คนที่เป็นโรคกระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบ  ให้ดื่มน้ำย่านางหรือสมุนไพรรวมฤทธิ์เย็นกับกล้วยดิบและขมิ้น  โดยใช้กล้วยดิบทั้งเปลือก  ๑  ลูก  แบ่งเป็น  ๓  ส่วนเท่า ๆ  กัน  นำกล้วยดิบและขมิ้นอย่างละ  ๑  ชิ้น  (ต่อครั้ง)  โขลกให้ละเอียด  หรือหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ  เคี้ยวให้ละเอียดแล้วกลืน  พร้อมกับดื่มน้ำย่านาง  หรือสมุนไพรรวมฤทธิ์เย็น  วันละ  ๓  เวลา  ก่อนอาหารหรือหลังอาหารอย่าง  ๒  ชั่วโมง  แต่ถ้ามีอาการออกร้อนท้องร่วมด้วยให้งดขมิ้น  สำหรับกล้วยดิบ  หรือขมิ้นอาจใช้เป็นลูกกลอนหรือแคปซูลก็ได้  โดยใช้กล้วยดิบครั้งละ  ๑-๓  เม็ด  ๓  เวลา  ก่อนอาหาร
          ๙.  สำหรับคนที่มีอาการท้องเสีย  ให้ใช้ย่านางปริมาณที่เหมาะสมกับบุคคลดังที่เสนอข้างต้น  ขยี้กับใบฝรั่งแก่  ๓-๕  ใบ  หรือใบทับทิม  ๑/๒-๑  กำมือ  ต่อน้ำ  ๑-๓  แก้ว  ดื่มก่อนอาหาร  ครั้ง  ๑/๒-๑  แก้ว  หรือดื่มบ่อย ๆ  จนกว่าจะหายท้องเสีย  ย่านางสามารถฆ่าเชื้อโรคที่เป็นเหตุให้เกิดภาวะร้อนเกินได้  รวมถึงเชื้อโรคที่ทำให้เกิดอาการท้องท้องเสีย  อีกสูตรหนึ่งที่ได้ผลดีมาก  คือ  ต้มน้ำย่านางหรือน้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็น  ควบคู่กับสมุนไพรต้ม หรือเอาเปลือกสะเดา (ส่วนที่มีรสฝาดขมกึ่งกลางระหว่างเปลือกแข็งนอกสุดและแก่น)  ยาว  ๑  คืบ  ของผู้ป่วย  กว้าง  ๑-๒  เซนติเมตร  หรือเปลือกมังคุดสดหรือตากแห้ง  ๑-๓  ลูก  ใบฝรั่งแก่  ๓-๕  ใบ  ทั้งสามอย่างรวมกัน  ต้มใส่น้ำ  ๓-๕  แก้ว  เดือด  ๕-๑๐  นาที  แล้วผสมน้ำตาม  ๓-๕  ช้อนโต๊ะ  ดื่มครั้งละ  ๑  แก้ว  ๓  เวลา  ก่อนอาหาร หรือจิบเรื่อย ๆ  จนกว่าอาการท้องเสียจะหาย
         ๑๐.  การใช้น้ำย่านางกับภายนอกร่างกาย
               ๑๐.๑.  ใช้น้ำย่านางหรือน้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็นเจือจางกับน้ำเปล่า  ใช้เช็ดตัวลดไข้ได้อย่างดี  หรือใช้ผ้าชุบวางบริเวณที่ปวดออกร้อน  ช่วยลดความร้อนจากร่างกายทางผิวหนัง
               ๑๐.๒.  ผสมน้ำยาสระผม  ใช้สระผมได้อย่างดี  ช่วยให้ศรีษะเย็น  ผมดกดำรือชะลอผมหงอก
               ๑๐.๓.  ใช้น้ำย่านางหรือน้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็น  ผสมดินสอพองหรือปูนเคี้ยวหมากให้เหลวพอประมาณ  ทาสิว  ฝ้า ตุ่ม  ผื่น  คัน พอกฝีหนอง  จะช่วยถอนพิษและแก้อักเสบได้
         ๑๑.  การประเมินว่า  ปริมาณหรือความเข้มข้นพอเหมาะที่จะดื่มหรือไม่
               ๑๑.๑.  ขณะที่ดื่มเข้าไป  จะกลืนง่ายไม่ฝืดฝืน ไม่ระคายคอ
               ๑๑.๒.  อาการไม่สบายทุเลาลง  ปากคอชุ่ม  ร่างกายสดชื่นขึ้น
               ๑๑.๓.  ถ้าดื่มน้อยไป  อาการก็ไม่ทุเลา  ถ้าดื่มมากไปก็จะเกิดอาการไม่สบายบางอย่าง  หรือในขณะดื่มจะรู้สึกได้ว่าร่างกายจะมีสภาพต้านบางอย่างเกิดขึ้น
         ๑๒.  สำหรับท่านที่ไม่ค่อยได้รับประทานผักสด  ร่างกายก็จะขาดวิตามินและคลอโรฟิล  ในใบย่านางมีวิตามิน  คลอโรฟิลคุณดภาพดี  มีพลังสด  พลังชีวิตประสิทธิภาพสูง  ในการป้องกัน  คุ้มครองและฟื้นฟูเซลล์ของร่างกายได้อย่างดีเยี่ยม
          หมายเหตุ  ๑.  หลายครั้งที่การดื่มสมุนไพรเพียงอย่างเดียว  ไม่เพียงพอต่อการแก้ไขปัญหาสุขภาพ  ก็ควรทำอย่างอื่นเสริมในการปรับสมดุลร้อนหรือเย็นของร่างกายด้วย  จะทำให้ประสิทธิภาพในการดูแลแก้ไขปัญหาสุขภาพดียิ่งขึ้น  เช่น  การปรับสมดุลด้านอิทธิบาท  อารมณ์  อาหาร  ออกกำลังกาย  อากาศ  เอนกายและเอาพิษออก
                         ๒.  ถ้าไม่มีย่านางหรือร่างกายไม่ถูกกับย่านาง      ก็สามารถใช้สมุนไพรฤทธิ์เย็นตัวอื่น ๆ  แทนได้

                                                          ขอขอบคุณ
                                                                           ที่มา  :  ย่านางสมุนไพรมหัศจรรย์
                                                                                      ใจเพชร มีทรัพย์(หมอเขียว)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น